เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ มี.ค. ๒๕๕๗

เทศน์เช้า วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมเนาะ เราเป็นชาวพุทธ เรานับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนอย่างใด? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้มีการเสียสละทาน ให้มีศีล ให้มีการภาวนา เห็นไหม ให้มีการเสียสละทาน ให้มีศีล ศีลคือความปกติของใจ ให้มีการภาวนา นั้นเป็นสัตว์ประเสริฐ การเป็นสัตว์ประเสริฐนะ เดี๋ยวนี้คนรุ่นใหม่บอกว่าเขาไม่นับถือศาสนาใดๆ เขาคิดว่าการนับถือศาสนาเป็นของครึ ของล้าสมัย เขาเป็นคนรุ่นใหม่ เขานับถือวิทยาศาสตร์ ถ้าวิทยาศาสตร์ต้องการพิสูจน์ตรวจสอบได้ เขาถึงบอกเขาไม่นับถือศาสนาใด เขานับถือวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่เขาไว้วางใจได้ แต่เขาไม่ไว้วางใจเรื่องของศาสนา

ถ้าเรื่องศาสนา เห็นไหม ศาสนาสอนเรื่องใด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาตรัสรู้ที่ไหน? ตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย้อนอดีตชาติไป บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อนาคต อาสวักขยญาณในปัจจุบันนี้ ฉะนั้น ชีวิตนี้มาจากไหน วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ ตั้งแต่ทฤษฎีที่เราจะพิสูจน์ของเราได้ทางวิทยาศาสตร์ แต่เรื่องความรู้สึกนึกคิดของคนมันละเอียดอ่อน จนจิตแพทย์เขายังค้นคว้าให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ไม่ได้ จิตแพทย์ก็พยายามจะขุดให้จิตของเรากลับมาเป็นปกติ

ถ้าจิตใจของใครขาดตกบกพร่อง เขาพยายามจะให้ยาคุมเพื่อให้กลับมาเป็นปกติ ถ้าปกติแล้วก็แค่นั้น เพราะอะไร เพราะเขาไม่มีศาสดา ไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาไม่มีความรู้จริงเรื่องสัจธรรม เขารู้เรื่องทางวิทยาศาสตร์ไง วิทยาศาสตร์คือเรื่องปรากฏการณ์ของจิต นี่เขาค้นคว้ากันแบบนั้น ถ้าค้นคว้ากันแบบนั้นเขาก็รักษาด้วยจิตแพทย์

แต่เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม มนุษย์ต่างจากสัตว์เพราะมีศีลธรรม คำว่า “ศีลธรรม” มนุษย์เกิด เกิดมาจากไหน เห็นไหม ถ้าคนเกิดมาด้วยบุญกุศล เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองมา มีพ่อแม่คอยดูแล คอยเกื้อหนุน คอยจุนเจือ คนเกิดมาเป็นคนชั้นกลาง พ่อแม่ที่ฉลาด พ่อแม่ที่มีปัญญา พ่อแม่จะเลี้ยงลูกด้วยศีลธรรมด้วยจริยธรรม ให้เขาเสียสละ ให้จิตใจเขายอมรับกับสังคมได้ ให้เขาอยู่กับสังคมโดยไม่ให้มีความกดดันในใจของลูกเขา ให้มีความอบอุ่น เช้าขึ้นมาได้กอดลูกหรือยัง เช้าขึ้นมาได้ดูแลลูกของตัวหรือยัง เห็นไหม สิ่งที่ซื้อขายไม่ได้คือความรู้สึกนึกคิดอันนี้ สิ่งที่แลกด้วยแก้วแหวนเงินทองไม่ได้คือนิสัยใจคอของเขา นี่ถ้าเรารักษาดูแลอย่างนี้

เวลาเกิดมาทุกข์ๆ ยากๆ เกิดมาด้วยความขาดแคลน ถ้าเด็กเขาเกิด เห็นไหม คนเราไม่ใช่ดีเพราะการเกิด คนเราดีเพราะการกระทำ การเกิดนะ เกิดด้วยเวรด้วยกรรม คนที่เกิดมามีบุญกุศลพาเกิดขึ้นมา นี่เกิดขึ้นมามีบุญกุศล คำว่า “บุญกุศล” เพราะเขาทำคุณงามความดีของเขา บุญกุศลของเขา เกิดมาก็มีคนดูแลจุนเจือของเขา คนเราเกิดมาเป็นคนชั้นกลาง เกิดมาก็ปากกัดตีนถีบพอประมาณ ก็มีพ่อแม่ดูแลรักษาไป

เวลาคนเกิดมาทุกข์ๆ ยากๆ แต่เขาเป็นรัฐบุรุษก็มี เห็นไหม ทาส สปาร์ตาคุสเป็นทาสนะ มันสามารถเป็นกษัตริย์ได้ เห็นไหม เกิดมาจากการเป็นทาส ความเป็นทาส ทาสสมัยโบราณเกิดเป็นทาสก็สัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้นแหละ แล้วแต่นายทาสมันจะข่มขี่ข่มเหงอย่างไรก็แล้วแต่ แต่เขาก็มีสติปัญญาของเขา นี่คือการกระทำของเขา สติปัญญาของเขา ถ้าเขาทำให้เขามีสติปัญญาของเขา เขาทำได้ของเขา นี่สิ่งที่ทำแบบนี้ คนเราไม่ได้ดีเพราะการเกิด แต่ดีที่การกระทำ แล้วทำอย่างไรล่ะ

ทำทางโลก เราเกิดมาเราก็มีอาชีพ เราเกิดมาคนต้องมีหน้าที่การงาน เขาว่าใครประสบความสำเร็จทางโลก หน้าที่การงาน นี่บุญกุศล มีงานทำเพื่อแสดงว่าเป็นคนรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน นี่งานของโลกไง งานของโลกก็งานอาบเหงื่อต่างน้ำ งานคือหามา สิ่งนี้หามาเพื่อความมั่นคงของชีวิต แต่มั่นคงในชีวิตแล้วจิตใจก็ยังว้าเหว่ไง

“โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้เร่าร้อนนัก” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรม พระอรหันต์ ๖๑ องค์ “เธออย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก” เพราะว่าสัจธรรมๆ โลกนี้ต้องแสวงหา การแสวงหาของเขา เขาแสวงหาอย่างใด ถ้าเราแสวงหาทางโลก หน้าที่การงานของเราก็เป็นเรื่องของโลกใช่ไหม ถ้าเรื่องของธรรมล่ะ

ถ้าจิตใจเป็นธรรม เราเลี้ยงลูกของเราขึ้นมา อย่าให้ลูกเอาเปรียบเพื่อน ให้ลูกอยู่กับเพื่อน อยู่ด้วยความรักกัน ให้มีสติปัญญา อย่าไปรังแกเขา แต่ถ้าเขาจะเอาเปรียบเรา เราก็ต้องมีสติปัญญาหาทางหลบหลีกของเรา เห็นไหม เราสอนลูกมาตั้งแต่เด็กๆ ให้จิตใจเขาเป็นสาธารณะขึ้นมา แล้วถ้าเราอยู่กับสังคมโลก เราก็มีความร่มเย็นเป็นสุขของเรา ร่มเย็นเป็นสุขเพราะว่ามันไม่เร่าร้อนไง คือจิตใจมันไม่บีบคั้นตัวเองนัก

จิตใจถ้ามีปมด้อย เรามีแต่ความเสียเปรียบเขา เรามีแต่ความทุกข์ยากของเรา มันกดดันตัวเอง เห็นไหม ถ้าจิตใจไม่กดดันตัวเองมันจะคิดสิ่งใด มีปัญญาสิ่งใดมันก็เข้าใจปัญหาทางโลกได้ นี่มันก็เรื่องโลกไง ถ้าเราหาประสบความสำเร็จในชีวิต เงินทองก็กองไว้นั่น แล้วเราไปนั่งอยู่บนกองเงินกองทอง เราก็ไปทุกข์อยู่บนนั้นน่ะ หัวใจนั่งอยู่บนกองทองเลย เงินทองล้นฟ้าเลย มันนั่งอยู่นั่นมันก็มีความทุกข์ของมัน เห็นไหม ความทุกข์มันเกิดที่ใจ ความทุกข์มันไม่ได้เกิดที่ข้าวของเงินทองนั้น

แต่ถ้าคนมีสติปัญญา เราทำของเรา เราเกิดมาด้วยบุญกุศลพาเกิด เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองมา เกิดมามีสติปัญญาของเรา เกิดมาเราทำหน้าที่การงานประสบความสำเร็จของเขา ทำสำเร็จแล้วเราจะเจือจานกับโลกทางไหน เห็นไหม ทรัพย์สมบัติที่หามา ถ้าเราเสียสละไป เขาบอกว่า คนเราเกิดมาได้บ้านได้เรือนมาหนึ่งหลัง เวลาบ้านเรือนไฟไหม้ ไฟมันไหม้บ้านเรือนหมดเลย นี่ก็เหมือนกัน เราได้ร่างกายมาหลังหนึ่งก็คือบ้านหลังหนึ่ง จิตใจก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ เราก็หาใช้หาสอยในชีวิตของเรา ถ้าเราเสียสละออกไป เหมือนกับเราเอาทรัพย์สมบัติของบ้านเราออกไปไว้ข้างนอก พอเวลาไฟมันจะเผาบ้านมันก็เผาบ้านเราไป ทรัพย์สมบัติเรายังมีอยู่ แต่ถ้าเราเก็บไว้ เวลาไฟมันเผา มันเผาไปหมดเลย

สิ่งที่เราเสียสละไป ทรัพย์สมบัติของเราเสียสละไป ของเราดีๆ เราเสียสละได้อย่างไร ของเราหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงทั้งนั้น เราจะเสียสละได้อย่างไร เพราะเราเห็นคุณประโยชน์ไง เพราะจิตใจเราเป็นสาธารณะไง ให้เสียสละสิ่งนี้ไป เสียสละไปเพื่ออะไร? เพื่อฝึกฝนหัวใจของเราไง

จิตใจมันจะกว้านเอาสมบัติของโลกนี้เป็นของเราคนเดียว แล้วเราเห็นประโยชน์ของการเสียสละทาน ทาน ศีล ภาวนา เห็นไหม ถ้าเรามีการเสียสละทานของเราเพื่อฝึกหัดหัวใจของเรา ถ้าหัวใจเรามันฝึกหัดได้แล้ว เวลาเราจะให้อภัยทาน เราบอก “ต้องเสียสละ ต้องมีข้าวของเงินทองใช่ไหม เราถึงทำบุญกุศลได้”

นี่เราฝึกหัดๆ จนจิตใจเราเป็นธรรมขึ้นมา มันรู้ รู้ว่าอารมณ์ความรู้สึกอันนี้ถ้ามันเสียสละแล้วมันจะมีความสุขของมัน ถ้าจิตใจมันมีความบกพร่อง มีความเครียดในหัวใจของเรา เราก็เสียสละด้วยอภัยทาน ถ้าเราไม่ฝึกหัดการเสียสละทานขึ้นมา เวลามันกดดันหัวใจ เราจะเอาความกดดันนี้ออกไปได้อย่างไร แต่ถ้าเราฝึกหัดมา ความกดดันอันนี้ เห็นไหม ความกดดันมันก็เป็นธรรมดา มันเป็นอาการ มันเป็นนามธรรม เราไปกว้านมันมา เวลามันมีความบกพร่องในหัวใจ มันมีความกดดันในหัวใจ มันอะไรล่ะ? มันก็เป็นความคิดเราทั้งนั้นแหละ มันเป็นความคิด มันเป็นความตระหนี่ มันเป็นคนไปกว้านมาเอง เห็นไหม ถ้าเราไม่เคยฝึกหัดเสียสละทานมา วัตถุยังเสียสละไม่เป็น ยังจับต้องได้ ยังสละออกไปไม่ได้ แล้วสิ่งที่เป็นนามธรรมในหัวใจมันจะเสียสละอย่างไร

เวลาเราทำบุญกุศล มันบุญกุศลเพื่อบุญกุศล บุญกุศลมันเป็นผลของวัฏฏะ มันทำให้มีบารมีธรรม แล้วฝึกหัดในปัจจุบันนี้ไง มนุษย์ปัจจุบันนี้เรื่องทางโลกเราอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อความมั่นคงของชีวิต แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราฝึกฝนของเรา ถ้ามันมีความรู้สึกนึกคิดกดดันในหัวใจ เราก็พยายามจะเสียสละให้อภัยทาน ให้อภัย ให้อภัยไป พอให้อภัย จิตใจมันก็ปลอดโปร่ง มันก็โล่ง

เวลาของที่เป็นสารพิษเอาเข้ามาแล้วมันเป็นการกดดันตัวเองเสียหายไปหมด แต่เวลากิเลสมันกดขี่หัวใจ เราแยกแยะไม่ได้ เราทำไม่ได้ เพราะอะไร เพราะเราไม่ได้ศึกษา เพราะว่าเราจะเป็นคนรุ่นใหม่ไง “เราไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น เราไม่มีศาสนา เราถือวิทยาศาสตร์ เราถือทฤษฎีความเป็นจริงอันนั้น”

แต่สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สร้างคุณงามความดีในหัวใจ มีบารมีธรรม มันถึงเห็นคุณงามความดีในหัวใจ มันถึงเห็นภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ไม่มีใครรู้ใครเห็นกับเรานะ ภาวนามยปัญญา เกิดทางอันเอก มัคโค ทางอันเอกที่จิตใจนี้มันจะก้าวเดินไป นี่จิตใจเราจะก้าวเดินไป

จิตใจของเรามันไม่มีทางออก มันไม่มีทางก้าวเดินไป มันก็กดดันตัวเองกันอยู่อย่างนี้ แล้วก็บอกว่า “ไม่นับถือศาสนาใดๆ เรานับถือวิทยาศาสตร์ เรานับถือสิ่งที่พิสูจน์ได้ ศาสนาพิสูจน์ไม่ได้”...ก็เอ็งไม่มีจิตใจที่ประเสริฐ เอ็งไม่ได้มีการเสียสละ เอ็งไม่มีจิตใจที่เป็นสาธารณะ เอ็งทำหัวใจของเอ็งเป็นสัมมาสมาธิ จิตใจที่มั่นคงขึ้นมาไม่ได้ ถ้าจิตใจมั่นคงขึ้นมาไม่ได้ มันไม่รู้อะไรเป็นเราไง “ทรัพย์สมบัติเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา”...เราก็ชื่อในทะเบียนบ้านไง

ถ้าเรามีสติมีปัญญา เรากำหนดพุทโธของเรา มีคำบริกรรมแล้ว สิ่งที่ทรัพย์สมบัติก็หามาพอแรงแล้ว สิ่งนี้จะหาทรัพย์สมบัติของใจ เพราะใจนี้เวียนว่ายตายเกิด เกิดนี้มาจากไหน บุพเพนิวาสานุสติญาณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าจิตนี้มันเวียนว่ายตายเกิดมาอย่างใด แล้วถ้าไม่มีที่สิ้นสุดมันจะเกิดไปข้างหน้า

สิ่งที่เป็นสมบัติที่เวลาเกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทอง เกิดมาเป็นชนชั้นกลาง เกิดมาทุกข์จนเข็ญใจ นี่บุญพาเกิด ถ้าบุญพาเกิดนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติไปเห็นสิ่งนั้นขึ้นมา เราทำบุญกุศลกันที่นี่

“ชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตนี้มาจากไหน” เรารู้ของเราไม่ได้ แล้วสิ่งใดเรารู้ไม่ได้ หน้าที่การงานก็ทำแล้ว ทุกอย่างก็ทำแล้ว แต่ถ้าเราเห็นคุณค่าของหัวใจของเรา เห็นคุณค่าสิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ คำว่า “เป็นอริยทรัพย์” ทรัพย์สมบัติที่ว่า เห็นไหม ทรัพย์สมบัติ ทองกี่ตันๆ เขาต้องมีตู้เซฟเก็บ ดูอย่างคลังหลวงเขาต้องมีที่เก็บ มีห้องใต้ดินนะ แล้วบุญกุศล ความดี ปัญญา มันเก็บที่ไหน แล้วมันอยู่ที่ไหน ก็ไปรื้อค้นในพระไตรปิฎก นั่นก็ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไปจำเขามา

ในธนาคารชาติมีเงินอยู่กี่แสนล้านๆ เราก็รู้ได้ เราเป็นคนไทย เราก็มีสิทธิในเงินทองนั้น แต่เป็นของเราหรือเปล่า เราใช้ได้หรือเปล่า? เราก็ใช้ไม่ได้ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษามานั่นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าจิตใจมันหยาบมันก็เห็นแต่เรื่องวัตถุ นี่วัตถุมันยังเสียสละไม่ได้

สิ่งที่เป็นนามธรรมๆ แล้วมีคำบริกรรมของเราไง พุทโธๆ พุทธานุสติ เวลามันละเอียดเข้ามาๆ มหัศจรรย์ ทุกคนถ้าจิตสงบนะ ถ้าใครไม่เคยภาวนา “มันทำไมมหัศจรรย์ขนาดนั้น มันทำไมมหัศจรรย์ขนาดนั้น” ไปหาทั่วโลก ๓ โลกธาตุ ไปหาซื้อ หาคนที่หามาได้ หาให้คนที่มีปัญญามากมายมหาศาล พยายามจะบอกให้เรารู้ เราก็รู้ไม่ได้ แต่เวลาเราพุทโธๆ จิตสงบเข้ามามันเป็นสัมมาสมาธิ มันสงบอย่างนี้ เห็นไหม

สิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ สิ่งที่เป็นคุณงามความดีอันละเอียด มันต้องมีวุฒิภาวะ จิตใจต้องมีอำนาจวาสนาบารมี มันถึงจะแสวงหา มันถึงจะค้นคว้า ถ้าค้นคว้าขึ้นมา จิตมันสงบเข้ามาได้ “สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี” แล้วมันฝังใจมาก ฝังใจมาก

อาบเหงื่อต่างน้ำทุกข์ยากมาขนาดไหน ทำงานเสร็จแล้วได้พักผ่อนมันก็สบาย จิตใจมันหาบรับภาระความรับรู้ในใจ มันรับรู้ มันตึงเครียด มันขาดตกบกพร่อง มันขาดๆ เกินๆ ในใจมาตลอด มันไม่พอดีสักที เดี๋ยวก็ขาด เดี๋ยวก็เกิน เวลาเกินมา แหม! เกินมาก็เก็บที่ไหนไม่ได้ เวลาขาดไปนี่เร่าร้อนนัก เวลาเราพุทโธๆ จนมันอิ่มเต็มในตัวมัน มันไม่ขาด มันไม่เกิน แล้วมันมีสติปัญญา มีสติ ถ้ามีสติขึ้นมามันจะรู้ บริหารจัดการความสงบอันนี้ได้ มันมหัศจรรย์แล้วก็อยากได้ๆ อยากได้เพราะมันหาซื้อไม่ได้ ทุกข์จนเข็ญใจ เศรษฐีกุฎุมพีขนาดไหน หาซื้อไม่ได้ มันต้องทำขึ้นมาจากหัวใจของเรา แล้วหัวใจที่ทำอย่างนี้ได้มันต้องมีจิตใจที่เป็นสาธารณะ เห็นคุณงามความดีอันละเอียด

ดูสิ เขาอาบเหงื่อต่างน้ำมา เขาได้ทรัพย์สินเงินทองมาก็เป็นสมบัติของเขา เวลาเราภาวนากัน ถ้าเรามีสติ เราบริกรรมพุทโธของเรา ถ้าจิตมันสงบ มันเป็นสมบัติของเรา แล้วใครวัดค่าล่ะ ค่านี้จะไปเทียบเคียงกับใครล่ะ สมบัติเงินทองเขาวัดค่ากันได้ ความสงบระงับในใจใครวัดค่าได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวัดค่า เวลาขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ พอเป็นสมาธิ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่ไม่มีสมาธิขึ้นมา มรรค ๘ ก็เกิดไม่ได้ มรรคจะเกิดขึ้นมาด้วยสัมมาสมาธิ มันจะมีดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ความระลึกชอบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ

ลัทธิศาสนาอื่นเขาบอกว่าเป็นศาสดาๆ เขาตรัสรู้เองโดยไม่ชอบ เพราะเขาเข้าข้างตัวเอง เขาโน้มเอียงไปทางความเห็นของเขา มันไม่เป็น มันขาดมันเกินของมัน มันก็ว่าพอดีของมัน เขาว่าของเขาไปอย่างนั้น นั้นคือความไม่ชอบธรรม

ถ้าเราชอบธรรมของเรา ถ้าจิตมันสงบแล้ว ฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้ามันออกฝึกหัดใช้ปัญญา มันเกิดภาวนามยปัญญา นี่อริยทรัพย์อย่างนี้

ปัญญาๆ ที่เขาศึกษา เขาไปติวกันนะ เวลานักเรียนเขาไปติวกัน เขาจะเรียนพิเศษ เขาจะให้มีปัญญามากๆ ขึ้นมา...ปัญญาก็แค่ไปสอบ แค่รู้ข้อสอบ แค่สอบได้ แต่ไอ้นี่มันเป็นความวิตกกังวลในใจ มันเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ในใจ ถ้ามีปัญญาขึ้นมา มันแยกแยะของมัน มันไปรู้ไปเห็นของมัน

กิเลสเป็นนามธรรม มันอาศัยกาย อาศัยเวทนา อาศัยจิต เวทนาสุขกับทุกข์มันอาศัยสิ่งนี้หลอกเรา แล้วมันก็อาศัยสิ่งนี้ให้เราวิ่งตามมันไป ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราจับมันได้ เราพิจารณาได้ “เออ! กูไม่ตามเอ็งไปแล้วล่ะ ไม่ตามไปแล้วกูจะทำลายเอ็งด้วย กูจะทำลายเอ็ง กูจะสำรอกคายเอ็งออกเลย กูจะเป็นอิสระ จะไม่ให้เอ็งมาครอบงำกูได้อีกเลย” มันทำของมันได้ นี่อริยทรัพย์ ทรัพย์สิ่งนี้จะทำได้ต่อเมื่อเรามีความพอใจ เรามีความพอใจเราถึงกระทำ ต้องมีศรัทธาความเชื่อเราถึงแสวงหา ถึงมีการกระทำ

ถ้าเราทำสักแต่ว่า เห็นเขาทำกัน เถรส่องบาตรไง เห็นเขาส่องก็ส่งไปด้วย เห็นเขานั่งก็นั่งไปกับเขา เห็นเขาภาวนาเป็นกระแสสังคมเราก็ทำไปกับเขา แล้วก็เอามาโม้กันปากเปียกปากแฉะ แล้วมันเป็นจริงไหมล่ะ

ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เราจะรู้ในหัวใจของเรา เราจะเข้าใจในหัวใจของเรา เราจะมีที่พึ่งของเรา

ถ้าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์มีอริยทรัพย์ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา หน้าที่การงานเราทำของเรา อาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อมีปัจจัยเครื่องอาศัย แล้วชีวิตนี้ลมหายใจเข้าให้นึกพุท ลมหายใจออกให้นึกโธ ถ้ามีเวลาว่าง เราไม่หายใจทิ้งเปล่าๆ ทั้งๆ ที่หายใจเพื่อดำรงชีวิต แต่ถ้าหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มีอานาปานสติ

เรามีสติ เรามีพุทธานุสติ เรามีสติอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีสติอยู่กับอากาศ อานาปานสติ นี่อยู่เป็นสติปัญญา เราสร้างขึ้นมา เพราะหน้าที่การงานเราแสวงหามาเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าเรามีอานาปานสติ เรามีพุทธานุสติ จิตใจเรามันจะมีทรัพย์ของมัน จิตใจมันจะมีบุญกุศล

บุญพาเกิด บาปพาเกิด สิ่งที่มันมีบุญกุศลมันจะพาจิตนี้ให้เกิดในที่ดีๆ สุคโต จิตร่มเย็นเป็นสุข แล้วมันจะมีความร่มเย็นเป็นสุขไปข้างหน้า เห็นไหม เวลาจิตนี้ออกจากร่างไป มันเคลื่อนไป มันเอาของมันไป มันมีทรัพย์สมบัติติดตัวมันไป นี่เราทำเพื่อเหตุนี้ ทำบุญกุศลเพื่อหัวใจของเรา ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราจะเลือกเอาระหว่างโลกกับธรรม

ทั้งๆ ที่เราอยู่กับโลก เราทำหน้าที่การงานทางโลก เราก็ต้องแสวงหาสิ่งที่หัวใจของเรามันมีทรัพย์ของมัน หัวใจของเรามันได้จับของมัน นี่วิญญาณาหาร จิตใจนี้ได้ทำแล้ว จิตใจมีที่พึ่งของมันแล้ว ถ้ามันมีความอึดอัดขัดข้อง ทำแล้วไม่พอใจหัวใจของเรา เห็นไหม ถ้าเรามีปัญญา อภัย เราพยายามเอามันออก ถ้าเราเอาออกได้มันจะปลอดโปร่งทั้งข้างนอก ทั้งข้างใน เราจะมีสติมีปัญญาเพื่อชีวิตของเรา ดำรงชีวิตนี้ไว้ให้เป็นสมบัติของเราเอง เอวัง